ยินดีต้อนรับทุกท่าน สู่เส้นทางธุรกิจ BY KICHPRAPAN BUSINESS TEL : 083-766-3882
 เข้าสู่ระบบ - สมัครสมาชิก  |  
 ตะกร้าสินค้า (0)
ค้นหาสินค้าในเว็บ
ประเภทสินค้า
สินค้าแนะนำ
สินค้ายอดนิยม
สินค้ามาใหม่ล่าสุด
ประเภทสินค้า : ผลิตภัณท์อาหารเสริม และผลิตภัณท์ กิฟฟารีน
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
 

ลูทีน ซีแซนทีน อาหารบำรุง สายตา

 


อาหารสุขภาพ บำรุงตาที่มีงานวิจัยเป็นที่ยอมรับทางการแพทย์ เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้สายตามาก เพ่งจอคอมพิวเตอร์ ขับรถกลางคืน
สาร ลูทีนและซีแซนทีน เหมาะกับผู้ใช้สายตามาก ผู้สูงอายุ ผู้ที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืออยู่กับแสงสว่างจ้า กลางแดด  ผู้ที่ต้องขับรถกลางคืนบ่อย ๆ ผู้ที่โดนแฟลช  ดูทีวีมากและนาน  ผู้ป่วยเบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็งเต้านม
ประโยชน์ โดยสรุปของสาร ลูทีนและซีแซนทีนที่มีงานวิจัยมีดังนี้คือ    
 ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อกระจก และโรคจอตาเสื่อม ( AMD )  มะเร็งเต้านมและโรคหลอดเลือดหัวใจ
 รายละเอียดดังนี้
ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) เป็นสารธรรมชาติจัดอยุ่ในกลุ่มของสารรงควัตถุที่มีสีในตระกูลของสาร แคโรทีนอยด์  แต่มีความแตกต่างจากคาโลทีนอยด์ชนิดอื่นตรงที่จะไม่เปลี่ยนไปเป็นวิตามิน เอ  ลูทีน  และซีแซนทีน มีในเนื้อเยื่อของร่างกายมนุษย์หลายจุดด้วยกัน ส่วนของร่างกายที่มีสาร ลูทีน  และซีแซนทีน ได้แก่ในลูกตา คือ ที่เลนส์ตา และจอรับภาพของตา คือเรติน่า ตรงตำแหน่ง


จุด รับภาพของลูกตา ( Macula ) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในจอตาเรติน่าเพราะเป็นจดุที่รูปภาพและแสง ส่วนมากจะมาตกบริเวณนี้ เป็นส่วนที่จอตารับภาพได้ชัดที่สุดนั่นเอง ในธรรมชาติแล้วแม้จะมีแคโรทีนอยด์มากกว่า 600 ชนิด แต่มีเพียง 20 ชนิดเท่านั้นที่พบในมนุษย์  และมีเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่พบในจุดรับภาพของลูกตา ( Macula ) คือ ลูทีน ( Lutein ) และ ซีแซนทีน ( Zeaxanthin )    ในจอตาทั้งคู่ทำหน้าที่
     : ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตา 
     : ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการลดอนุมูลอิสระและกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา
     นอกจากนี้ ลูทีน  และซีแซนทีน ยังพบได้ใน ตับ ตับอ่อน ไต ต่อมหมวกไต และเต้านมแต่ก็เป็นสารที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ ร่างกายของเราจะได้รับสารนี้ก็ต่อเมื่อรับประทานพืชผักที่มีสารนี้เท่านั้น แต่สารซีแซนทีนนอกจากจะได้จากอาหารส่วนหนึ่งแล้ว ร่างกายสามารถเปลี่ยนสารลูทีนในตาไปเป็นสารซีแซนทินได้  พืชผักที่มีสาร ลูทีน  และซีแซนทีน โดยมากมักจะเป็นผัก ผลไม้ ที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ข้าวโพด ผักกาด ผักปวยเล้ง คะน้า ผักโขม  
     ลูทีนและซีแซนทีน มีประโยชน์ในโรคหลายชนิดด้วยกัน ที่สำคัญคือ โรคต้อกระจก และโรคโรคจุดรับภาพเสื่อม โรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยลดอุบิตการณ์ในโรคมะเร็ง บางชนิด
โรคต้อกระจก ( Cataracts )
คือภาวะที่กระจกตา หรือเลนส์ตาขุ่นทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าไปในตาได้ตามปกติ ตาจะมัวมากน้อยขึ้นอยู่กับต้อกระจกขุ่นมากน้อยแค่ไหน ต้อกระจกไม่ใช่โรคติดต่อ แต่อาจเป็นพร้อมกันทั้งสองตา ต้อกระจกจะค่อย ๆ ขุ่นไปอย่างช้า ๆ ใช้เวลาเป็นปี ๆ ต้อกระจกไม่ใช่โรคมะเร็ง ต้อกระจกสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด การผ่าตัดลอกต้อกระจกขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคนโดยจักษุแพทย์จะเป็น ผู้ให้คำแนะนำ และเลือกวิธีการผ่าตัดให้ได้ดีที่สุด
สาเหตุหลัก คือ การเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบของเลนส์ตา ทำให้เลนส์ขุ่น และนิวเคลียสแข็งขึ้น พบการเปลี่ยนแปลงนี้ในผู้สูงอายุ พบบ่อยตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป สาเหตุอื่น เช่น จากกรรมพันธุ์ จากอุบัติเหตุตา จากการติดเชื้อ จากการติดเชื้อในครรภ์มารดา ถ้าพบตั้งแต่เกิดก็เรียกว่า “ต้อกระจกแต่กำเนิด” เช่นในเด็กที่เกิดหลังจากมารดาติดหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ ในคนที่เป็นเบาหวานพบว่าเป็นต้อกระจกเร็วกว่าคนธรรมดาอย่างมาก  ตาปกติเลนส์ตาจะใส และปล่อยให้แสงผ่านไปได้ แต่เมื่อเป็นต้อกระจก  เลนส์ตาจะขุ่นแสงผ่านเข้าไม่ได้ เมื่อเริ่มเป็นต้อกระจก ผู้ป่วยจะรู้สึกตาข้างนั้นมัวคล้ายมองผ่านหมอก อาจมองเห็นภาพซ้อน ขับรถตอนกลางคืนลำบากขึ้น เมื่อต้อกระจกเป็นมากขึ้น จะสามารถสังเกตเห็นต้อสีขาวที่ม่านตาได้
     การตรวจวินิจฉัย เมื่อมีอาการตามัวควรไปรับการตรวจจากจักษุแพทย์ ต้อกระจกจะทำให้สายตามัวไปทีละน้อย เมื่อต้อสุกจะมองเห็นแต่มือไหว ๆ หรือเห็นเพียงแสงไฟเท่านั้น
โรคจุดรับภาพเสื่อม( Age-Related Macula Degenerationหรือ AMD ) 
เกิดจากการเสื่อมของจุดรับภาพ (Macular) ซึ่งเป็นกลางจอตา (Retina) ทำให้การมองเห็นภาพเบลอ บิดเบี้ยวบางครั้งอาจรุนแรงขนาดเห็นจุดดำมาบังภาพอยู่ตลอดเวลาอาจมีสาเหตุมา จาก
- ปัจจัยทางธรรมชาติที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เช่น  การเสื่อมสภาพของดวงตาเมื่ออายุเพิ่มขึ้น หรือการถ่ายทอดผ่านทางกรรมพันธุ์จากบรรพบุรุษ
- ปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ เช่น
          : การเผชิญแสงแดดจ้า   ทำให้ดวงตาได้รับรังสี UV  โดยตรง
          :  การมีพฤติกรรมชอบบริโภคอาหารที่มีไขมันและคอเรสเตอรอลสูง เพราะอาหารประเภทนี้อุดมไปด้วยอนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเนื้อเยื่อในร่างกาย ให้เสื่อมสภาพได้  รวมถึงการขาดสารอาหารบางชนิด
          : การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สูงเนื่องจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะเป็นตัวเร่งให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย
          : การสูบบุหรี่ เพราะควันในบุหรี่มากไปด้วยอนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเซลล์ในตา
- ปัจจัยที่เกิดจากอาการเจ็บป่วยของโรคอื่น เช่นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ก็มีส่วนเนื่องจากโลหิดในตาเสื่อมลง จึงส่งผลให้หลอดเลือดฝอยของจอประสาทตารั่วซึมหรือแตกง่าย
ลูทีนและซีแซนทีน กับโรคต้อกระจก
กลไกของการที่ ลูทีน และซีแซนทีน ช่วยลดหรือป้องกัน หรือชะลอการเกิดต้อกระจกได้นั้นเป็นเพราะ เป็นคุณภาพของสารเองที่จะลดกลไกการเกิดความเสื่อม ของโรคต้อกระจกโดยตรง ( อ้างอิงที่  1)  นอกจากนี้ก็ยังพบว่าทั้ง ลูทีน  และซีแซนทีน ต่างก็มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสสระ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงในโรคทึ่เกิดจากการมีสารอนุมูลอิสสระสูงได้ ( อ้างอิงที่ 2,3)  มีการค้นพบที่ชัดเจนว่า การได้รับแสงเป็นประจำได้ก่อให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสสระใน กระจกตาและจอตาได้จริง มีผลทำให้เกิดออกซิเดชั่นของโปรตีนและไขมันในเลนส์ตา ทำให้ไปในทิศทางของความเสื่อมของเลนส์ตาและก่อให้เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ ได้  ( อ้างอิงที่ 4)  จึงเป็นเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมสารลูทีน  และซีแซนทีน จึงสามารถลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจกและโรคของจอตาคือโรค  โรคจุดรับภาพเสื่อม ซึ่งมีกลไกการเกิดโรคจากความเสื่อมและอนุมูลอิสสระได้เช่นกัน  ในเรื่องของต้อกระจก  ได้มีการวิจัยวัดความขุ่นของเลนส์ตา ระดับของลูทีน  และซีแซนทีน ในกระแสเลือด ในกลุ่มผู้สูงอายุต่างๆ พบว่า การมีระดับ ของลูทีน  และซีแซนทีน ในกระแสเลือดสูงจะผกผันกับความขุ่นของเลนส์ตาในผู้สูงอายุ เป็นการวิจัยของจักษุแพทย์ และผู้วิจัยสรุปว่า  ลูทีน  และซีแซนทีน น่าจะลดการเกิดความเสื่อมของเลนส์ตาในผู้สูงอายุได้จริง  ( อ้างอิง ที่ 5)   ยังมีการวิจัยว่าการรับประทานลูทีน ในปริมาณสูง เพิ่มความสามารถในการมองเห็น ของผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกไปแล้ว การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยที่ดีมาก และทำการทดลองเป็นเวลานานถึงสองปีทีเดียว  ( อ้างอิง ที่ 6 ) การวิจัยที่ยิ่งใหญ่ถึงคุณประโยชน์ของลูทีน และซีแซนทีน ทำในอเมริกา สองงานวิจัย งานวิจัยแรกทำที่ Harvard School of Public Health, Boston ในผู้ชาย 36,644 คน ที่ได้รับอาหารเสริมและวิตามินต่างๆ พบว่ากลุ่มที่ได้รับอาหารเสริม เป็น  ลูทีน และซีแซนทีน จะลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจกถึง 19%  ( อ้างอิงที่ 7 ) และอีกงานวิจัยทำที่ University of Massachusetts ทำในสุภาพสตรี ถึง  50, 461 คน เป็นการวิจัยทำนองเดียวกัน แต่ทำในผู้หญิงเท่านั้นพบว่า ลูทีน  และซีแซนทีน จะลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจกถึง 22%   ( อ้างอิงที่ 8 )นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ทำที่ University of Wisconsin-Madison Medical School  ในผู้สูงอายุ 43-84 ปี จำนวน1,354 คน พบว่า ลดอุบัติการณ์ของ ต้อกระจกที่เกิดตรงกลางเลนส์  ( nuclear cataracts ) ได้ประมาณ 50%  ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก  ( อ้างอิงที่ 9 ) เนื่องจากมีงานวิจัยที่ชัดเจนมากมายถึงขนาดนี้จึงเป็นที่ยอมรับว่า ลูทีน  และซีแซนทีนลดอุบัติการณ์โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุได้จริง
ลูทีน และซีแซนทีน กับโรคจุดรับจอภาพเสื่อม
นอกจาก ลูทีนและซีแซนทีน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจกแล้ว  ยังพบว่ามีประโยชน์ในโรคโรคจุดรับภาพเสื่อม ซึ่งมีหลายๆการศึกษาสนับสนุนข้อมูลดังกล่าว โดยพบว่า ถ้าปริมาณ Lutein & Zeaxanthin ในลูกตาลดน้อยลง จะพบความเสี่ยงมากขึ้นในเป็นโรคโรคจุดรับภาพเสื่อม ( อ้างอิงที่ 10 ) และความเสี่ยงในการเป็นโรคโรคจุดรับภาพเสื่อม จะลดลง หากมีปริมาณ Lลูทีนและซีแซนทีน ในเลือดสูงขึ้น ( อ้างอิงที่ 11,12 ) แสดงให้เห็นว่า การบริโภค อาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีน สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้
ลูทีน กับมะเร็งเต้านม
ในการวิจัยของพยาบาล Nurse’s Health Study, Zhang และคณะ .  พบว่ามีคนที่บริโภคอาหารที่มี ลูทีนและซีแซนทีน  ปริมาณมากอาจลดอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งเต้านมในสตรีช่วงหมดประจำเดือน ได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่า เปอร์เซนต์การลดอุบัติกาณ์จะไม่มากนัก แต่ก็น่าสนใจอย่างยิ่ง ( อ้างอิงที่ 13) ในทำนองที่สอดคล้องกัน ก็มีผู้วิจัยพบว่า ลูทีน ลดอุบัติการณ์มะเร็งเต้านมได้จริงในสตรีกลุ่มที่มีความเสี่ยงคือมีประวัติ ครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม  (อ้างอิงที่ 14)  ที่เป็นเช่นนี้อธิบายได้จากกลไกของตัว ลูทีนเอง เพราะพบว่า สาร ลูทีนมีคุณสมบัติยังยั้งการก่อมะเร็งได้ด้วยกลไกหลายชนิด เช่น มีผลต่อการเกิด mutagens 1-nitro pyrene and aflatoxin B1 ( อ้างอิงที่ 15,16)  และมีผลต่อยีนที่มีผลต่อ T-cell transformations (อ้างอิงที่ 17)
ลูทีน ซีแซนทีน กับโรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคหลอดเลือดหัวใจ สาเหตุหลักมักเกิดจากการที่เส้นเลือดมีการหนาตัวตีบแคบลง จากการมีตะกอน (ทางการแพทย์เรียกว่า พล๊าค ( Plaque ) ในผนังเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดตีบแคบทั่วไป เพียงแต่บริเวณที่สำคัญที่ต้องการเลือดมากที่สุดตลอดเวลาคืออวัยวะที่ไม่มี การหยุดพัก คือหัวใจ เป็นจุดที่เกิดปัญหาได้ก่อน  ทำให้มีการขาดเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ผู้ป่วยมักมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก อาจมีหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายจนหัวใจวาย หรือหัวใจหยุดเต้นและถึงแก่กรรมโดยฉับพลันได้ บางรายอาการทางหัวใจไม่มาก แต่เมื้อหัวใจเต้นผิดจังหวะนานๆ ก็อาจจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ มีอัมพาตแขนขาอ่อนแรง หรืออัมพาตครึ่งซีก ตามมาได้  สาเหตุที่สำคัญที่ก่อให้เกิดพล๊าคในผนังเส้นเลือดคือภาวะไขมันในเลือดสูงและ มีสารอนุมูลอิสสระในผนังเส้นเลือด ก่อให้เกิดการแทรกซึมของไขมันโคเลสเตอรอลลงไปสะสมในผนังเส้นเลือดทำให้เกิด พล๊าคและมีการตีบตันได้ งานวิจัยพบว่า ลูทีน สามารถลดกลไกการเกิดพล๊าคดังกล่าวได้  ( อ้างอิงที่ 18 ) พบว่าในผู้ที่บริโภคอาหารที่มีลูทีนสูงจะลดอัตราการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดตีบในสมองอย่างมีนัยสำคัญ   ( อ้างอิงที่ 19,20)
กล่าวโดยสรุป ลูทีนและซีแซนทีน จึงเป็นสารอาหารธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์เป็นที่เชื่อถือได้ ในหลายโรคด้วยกัน มีความปลอดภัย และเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค

 
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
 
 

สารสกัดองุ่น

 

อาหารเสริมที่มีฤทธิ์ ต้านอนุมูลอิสสระที่แรงที่สุด ได้ชื่อว่าเป็น Super antioxidant
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น เป็นสารประเภท ไบโอฟลาโวนอยด์   มีสารที่สำคัญหลายตัว เป็น กลุ่มของโปรแอนโทรไซยานิดิน (  Proanthocyanidin  หรือมีอีกชื่อว่า  พีซีโอ (  PCO:  Procyanidolic Oligomers  ) มีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสระแรงที่สุด จนได้ชื่อว่า ซุปเปอร์แอนตี้ออกซิแดน สาร พีซีโอตัวนี้มีมากที่สุดในเมล็ดองุ่น และใน เบอร์เบอรี่ เชอรี่ พลัม ถั่วและผักบางชนิด ประวัติการค้นพบสารสกัดจากเมล็ดองุ่น มาจาก การค้นพบทางการแพทย์ที่พบว่าคนที่ดื่มไวน์แดงเป็นประจำจะมีโอกาสเป็นโรค หัวใจ และมีอัตราตายจากโรคหัวใจ น้อยกว่าผู้อื่น  ในครั้งแรกคิดว่าเป็นผลจากแอลกอฮอล์ ต่อมาจึงพบว่าส่วนใหญ่เป็นผลจากสารสกัดในเมล็ดองุ่น . ( อ้างอิงที่ 1 )
ประโยชน์
1. ลดการสะสมของโคเลสเตอรอลต่อผนังเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือด ไม่ตีบตัน ลดการอุดตันของเส้นเลือด ( อ้างอิงที่ 2,4)
2. มีผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจ  โดยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง และทนทานต่อภาวะการขาดเลือด และลดการเต้นผิดจังหวะ มีผลทำให้ลดอัตราตายจากโรคหัวใจ ( อ้างอิงที่ 3 ) 
3. มีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น ปอด กระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก  และมะเร็งเต้านมในคน ( อ้างอิงที่4- 6 ) 

4. สามารถป้องกันเซลล์มะเร็งในช่องปาก จมูก หลอดอาหารในกลุ่มประชากรที่เคี้ยวใบชา ซึ่ง เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งชนิดน
ี้ ( อ้างอิงที่ 7) 
     การทานผักและผลไม้ที่มี เบต้าคาโรทีน วิตามิน ซี วิตามิน อี สูงสามารถที่จะลดอุบัติการการเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด  และยังลด อุบัติการของโรคหัวใจขาดเลือด ทั้งหมดนี้มีงานวิจัยสนับสนุนในประชากรนับหมื่นคน ( อ้างอิงที่  8-10 12-13,16 )
 
    กล่าวโดยสรุปแล้วสารต้านอนุมูลอิสระ มีผลดีต่อร่างกาย เป็นสารธรรมชาติที่ช่วยชะลอการแก่ และลดมะเร็งต่าง ๆ และลดอุบัติการโรคหัวใจขาดเลือดได้จริง  มีมากในผักและผลไม้หลายชนิด ซึ่งอาจจะหารับประทานได้ไม่ยาก

 
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
 
 

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สามารถดักจับไขมัน

 

ไค โตซาน ผลิตจากสาร ไคติน ซึ่ง มีโครงสร้างคล้ายกับเซลลูโลส จัดเป็นใยอาหารชนิดหนึ่ง ไคโตซาน มีคุณสมบัติในการแลกเปลี่ยนประจุกับสารอื่นได้ รวมถึงมีคุณสมบัติในการก่อเจลเมื่อละลายในกรด กล่าวคือ เมื่อ ไคโตซาน ละลายในกระเพาะอาหารซึ่งมีความเป็นกรดแล้ว จะให้ประจุบวกสูง ประกอบกับการพองตัว มีลักษณะเป็นเจล ที่สามารถดูดจับไขมันซึ่งมีประจุลบ ทำให้ไขมันไม่ถูกย่อย จึงไม่ถูกดูดซึมและถูกขับถ่ายออกไป
ไคโตซาน  ผลิตจากสาร ไคติน ซึ่ง มีโครงสร้างคล้ายกับเซลลูโลส จัดเป็นใยอาหารชนิดหนึ่ง   ไคโตซาน มีคุณสมบัติในการแลกเปลี่ยนประจุกับสารอื่นได้ รวมถึงมีคุณสมบัติในการก่อเจลเมื่อละลายในกรด กล่าวคือ เมื่อ ไคโตซาน ละลายในกระเพาะอาหารซึ่งมีความเป็นกรดแล้ว จะให้ประจุบวกสูง ประกอบกับการพองตัว มีลักษณะเป็นเจล ที่สามารถดูดจับไขมันซึ่งมีประจุลบ ทำให้ไขมันไม่ถูกย่อย จึงไม่ถูกดูดซึมและถูกขับถ่ายออกไป
รวมถึงผู้ที่มีความดันโลหิตสูงจากการที่มีระดับไขมันในเลือดสูง (อ้างอิงที่ 1-4)
• มีงานวิจัยว่า  ไคโตซาน สามารถลดระดับโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ได้จริง(อ้างอิงที่ 5, 6)
สรุปคุณสมบัติของโพลีเดกซ์โตส ( Polydextrose )

• เป็นกลุ่มของใยอาหาร มีประโยชน์ในการช่วยจับไขมันจากอาหาร ลดการดูดซึมน้ำตาล ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก (อ้างอิงที่ 7)
•  โพลีเดกซ์โตสจะเป็นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ เมื่อถูกน้ำจะพองตัวเป็นวุ้น ทำให้ขัดขวางการดูดซึมไขมัน มีประโยชน์ต่อการควบคุมระดับไขมัน (อ้างอิงที่ 7,8)
สรุปคุณสมบัติของผงจากกระบองเพชร  (Opuntia ficus indica)
• ผงจากกระบองเพชร มาจาก กระบองเพชร (Cactus) สายพันธุ์ Opuntia ficus indica ( โอพุนเทีย ไฟคัส อินดิกา ) มีคุณสมบัติ เป็นใยอาหาร 2 ชนิด คือ ใยอาหารประเภทละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ มีความสามารถในการจับตัวกับไขมันและสร้างเจลพิเศษ ที่มีคุณสมบัติสูงสามารถป้องกัน การย่อยสลาย และดูดซึมไขมัน ด้วย เอนไซม์ ไลเปส ( Lipase Enzyme )  ได้ เอนไซม์ ไลเปสเป็นเอนไซม์ สำหรับย่อยไขมัน  จะถูกกันไว้ด้วยเจลจากสารสกัดของกระบองเพชร  ทำให้เอนไซม์  ไม่สามารถเข้าถึงตัวไขมันได้ จึงไม่เกิดการย่อยและการดูดซึมไขมัน   ทำให้ไขมันจำนวนหนึ่ง ที่ไม่ถูกดูดซึม จะถูกส่งผ่านและขับถ่ายออก ทางลำไส้ใหญ่  มีงานวิจัยที่ศึกษาในมนุษย์ พบว่า การรับประทานสารสกัดจากกระบองเพชร Opuntia ficus indica  ในปริมาณ  1.6 กรัมต่อ  มื้ออาหาร สามารถลดระดับไขมันในเลือด ชนิด  แอลดีแอล โคเลสเตอรอล ( LDL Cholesterol )   และไตรกลีเซอร์ไรด์  (Triglyceride )  ได้จริง ส่งผลทำให้ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจลดลง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยว่า เจล ที่สร้างจากสารสกัดจากกระบองเพชร Opuntia ficus indica สามารถ เคลือบกระเพาะอาหาร และป้องกันแผลในกระเพาะอาหาร จากการเหนี่ยวนำด้วย แอลกอฮอล์ ในสัตว์ทดลองได้ (อ้างอิงที่ 10)
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า การปรับเปลี่ยนนิสัยในการบริโภคร่วมกับการออกกำลังกาย เป็นวิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุดในการควบคุมน้ำหนัก หรือลดน้ำหนักในระยะยาว แต่วิธีการแบบนี้  มีความยากลำบากในการปฏิบัติให้ได้อย่างสม่ำเสมอ การใช้ยาลดความอ้วนก็จัดว่าเป็นยาอันตรายเนื่องจากยาลดความอ้วนนั้น จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ซึ่งการใช้ยานั้นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ ดังนั้นจึงมีทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคอีกทางคือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มที่มีคุณสมบัติในการลดหรือควบคุมน้ำหนัก อย่างปลอดภัย ไม่มีผลต่อจิตประสาท และระบบสมองนั้นมีมากมายหลายชนิด เช่น เพิ่มการเผาผลาญ ของร่างกาย ได้แก่ สารสกัดจากชาเขียว และน้ำมันดอกคำฝอย  (CLA),   ลดการดูดซึมแป้งด้วยกลไกการ block หรือยับยั้งเอนไซม์ที่ใช้ย่อยแป้ง (สารสกัดจากถั่วขาว)  และกลุ่มที่ออกฤทธิ์อยู่เฉพาะในทางเดินอาหารโดยดักจับเอาไขมันในอาหารที่เรา รับประทานเข้าไป  ได้แก่  Chitosan ใยอาหาร และสารสกัดจากกระบองเพชร Opuntia ficus indica นั่นเอง
เนื่องจาก ไคโตซานและสารสกัดจากกระบองเพชร Opuntia ficus indica มีผลต่อการดูดซึมไขมัน จึงไม่ควรรับประทาน พร้อมยาที่แพทย์สั่ง เพราะอาจจะมีผลรบกวนการดูดซึมยาบางชนิดที่จะต้องละลายในไขมัน และไม่ควรรับประทานในผู้ป่วยเบาหวาน เพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำและเป็นอันตรายได้  กรณีที่มีโรคประจำตัวอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนรับประทาน

 
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
 
 

น้ำมันปลา

 

ใน ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ว่า น้ำมันปลา คือ หนึ่งในอาหารเสริมสุขภาพที่ให้ประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค ให้ผลดีมากในการลดไขมันในเลือด และลดไขมันในเลือด และลดระดับไตรกรีเซอไรด์ในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ โรคความดันสูง และโรคเบาหวาน
ประโยชน์ที่มีการรับรองทางการแพทย์
- ลดอุบัติการ และอัตราตายของโรคหัวใจขาดเลือด (Coronary  Heart Disease )
- ลดไขมันในเลือดชนิดไตรกลีเซอร์ไรด์ ( Triglyceride )
- ลดความรุนแรงของโรคปวดข้อรูมาตอยด์ ( Rhematoid Arthritis )
- บำรุงสมอง เนื่องจากเซลล์สมอง มีกรดไขมันชนิดนี้มาก จึงช่วยเสริมสร้างเซลล์สมอง
ข้อควรระวัง
ห้ามทานในผู้ที่เป็นโรคที่เลือดออกได้ง่าย เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านเกร็ดเลือด หรือ แอสไพริน ผู้ที่มีเกร็ดเลือดต่ำ, มีจุดเลือดออกตามตัว, มีเส้นเลือดแตกในสมอง, เส้นเลือดแตกในจอตา จากโรคจอตาเสื่อมระยะสุดท้ายในเบาหวาน, หลังผ่าตัด 2 อาทิตย์แรก  มีความปลอดภัยในระยะยาว ไม่มีการสะสม ไม่มีรายงานโทษจากการทานนาน ๆในคนที่แพ้อาหารทะเล  น้ำมันปลามีความปลอดภัยในระยะยาว ไม่มีการสะสม ไม่มีรายงานโทษจากการทานนาน ๆ เช่นกัน

 

 
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
 
 

เรื่องน่ารู้ของน้ำมันดอกคำฝอย

 

ประโยชน์ของน้ำมันดอกคำฝอย CLA

1. ช่วยลดการสะสมไขมันส่วนเกินขึ้นมาใหม่ โดยมีกลไกในการทำงานคือ CLA จะไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไลโปโปรตีน ไลเปส ( Lipo-protein Lipase )  ช่วยให้ร่างกายลดการสะสมของไขมันที่ชั้นใต้ผิวหนัง
2. ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันส่วนเกินที่สะสมไว้ในร่างกาย โดยเร่งการทำงานของเอนไซม์ คาร์นิทีน ปาล์มิโตอิล ทรานสเฟอร์เรส (Carnitine Palmitoyl Transferase) ช่วยให้ร่างกายนำเอาไขมันที่สะสมไว้มาเผาผลาญให้เร็วขึ้น
3. มีงานวิจัยในระยะยาวว่า การให้ CLA จะสามารถลดมวลไขมัน (BFM) และควบคุมน้ำหนัก ช่วยในการรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ไม่ต้องอด ปลอดภัย
4. คุณสมบัติในเรื่องการป้องกันมะเร็ง ด้วยกลไกต้านมะเร็งหลายชนิด
5. มีความปลอดภัย แม้จะรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปีเต็มในผู้ที่น้ำหนักเกิน

 

 
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
 
 

คอลลาเจน

 

คอ ลลาเจน( Collagen ) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง มีส่วนสำคัญทำให้มีผิวพรรณมีสุขภาพดี เป็นตัวช่วยสร้างความตึงกระชับให้กับผิว
คอลลาเจน ( Collagen ) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง มีส่วนสำคัญทำให้มีผิวพรรณที่มีสุขภาพดี เป็นตัวช่วยสร้างความตึงกระชับให้กับผิว  ผิวหนังจะมีการเสื่อมสภาพได้ ด้วยสาเหตุหลัก ๆ 2 ประการคือ  การเสื่อมตามวัย และ เสื่อมเนื่องจากผลกระทบจากสภาวะแวดล้อม ทำให้ มีผลกระทบต่อผิวพรรณ  เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหมองคล้ำ ไม่เต่งตึง  ที่สำคัญคือ กลไกของความเสื่อมที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นจากทั้งสองสาเหตุนี้ เกิดจาก เส้นใยคอลลาเจน ( Collagen fibers )  ที่ประสานกันเป็นเส้นใยอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ มีการเสื่อมลง   ผิวหนังของคนเรา ปกติแล้วแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ
1. ชั้นหนังกำพร้า ( Epidermis )

เป็นผิวชั้นนอกสุด ประกอบด้วยเซลผิวหนัง ( Keratinocyte ) ซึ่งเป็นเซลที่มีหน้าที่สร้างสารเคอราติน ( Keratin )  ปกคลุมผิวหน้าของผิวหนังเป็นชั้นขี้ไคล  ชั้นหนังกำพร้านี้ทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นให้กับพื้นผิว ป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย รักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่  ( อ้างอิงที่ 1, 2 )

2.  ชั้นหนังแท้ ( Dermis )
เป็นผิวชั้นใน ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเส้นใยประสานกันไปมาคือ โปรตีนเส้นใยของคอลลาเจน ( Collagen fibers ), โปรตีนเส้นใยอีลาสติก ( Elastic fibers )  และโปรตีนเส้นใยร่างแห  ( Recticulum fibers ) นอกจากนี้ยังมีกล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นประสาทต่าง ๆ ที่รับความรู้สึกอยู่ด้วย ( อ้างอิงที่ 1, 2 ) 
3. ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ( Subcutis )
ทำหน้าที่รองรับผิวหนังให้คงรูปร่าง  ช่วยลดการกระทบกระแทก และเป็นแหล่งพลังงานของร่างกายยามขาดแคลนพลังงาน ( อ้างอิงที่ 1, 2 )

คอลลาเจน ( Collagen ) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ  คอลลา ( Kolla )  ซึ่งแปลว่ากาว  คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ประสานกันเป็นเส้นใยอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้  ทำหน้าที่ เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูเรียบ เนียนและ ทำงานคู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อ อีลาสติน ( Elastin ) ในขณะที่คอลลาเจนมีหน้าที่เสมือนโครงร่างผิว  อีลาสตินก็ทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิว ( อ้างอิงที่ 3)
 
ในวัยเด็ก คอลลาเจนยังไม่เสื่อมสลายและมีจำนวนมาก จึงทำให้เห็นว่าเด็ก ๆ หรือวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มสาวมีผิวหนังที่เต่งตึง แต่เมื่อมีวัยมากขึ้น เส้นใยคอลลาเจนเหล่านี้จะเสื่อมสลายและมีปริมาณลดลง ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลง อันเป็นต้นเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย  อย่างไรก็ตาม เราสามารถเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่ร่างกายได้เพื่อลดรอยเหี่ยวย่น ( อ้างอิงที่ 4 ) ด้วยการรับประทานคอลลาเจน หรือ วิธีการฉีดคอลลาเจนเข้าใต้ชั้นผิวหนังแท้ แต่วิธีการฉีดนั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นวิธีการรับประทานจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด

สารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและสุขภาพผิวที่ดี
วิตามินซี
• วิตามิน ซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant )  มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ในการเปลี่ยน กรดอะมิโน ( Amino Acid ) ชื่อ Proline เป็น Hydroxy Proline และ Lysine เป็น Hydroxylysine โดยทั้ง Hydroxyproline และ Hydroxylysine มีความสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ( อ้างอิงที่ 5 )
• เป็นตัวสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจนจากกรดอะมิโนให้กับผิว
• การขาดวิตามินซีอาจส่งผล ทำให้ยับยั้งการสังเคราะห์คอลลาเจน( อ้างอิงที่ 6 )

ไลโคปีน ( Lycopene )

• เป็นสารแคโรทีนอยด์สีแดง พบได้ในมะเขือเทศและผลไม้ที่มีสีแดง  ไลโคปีน เป็นสารแคโรทีนอยด์ที่พบว่ามีปริมาณมากที่สุดในร่างกายมนุษย์  โดยมักพบอยู่ในผนังเซล์และมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ สูงกว่าสารแคโรทีนอยด์อื่น ๆ   ไลโคปีน ช่วยลดความผิดปกติและความเสื่อมของเซลล์อันเนื่องมาจากการทำลายของอนุมูล อิสระจึงสามารถป้องเซลล์ในอวัยะต่าง ๆ ที่มีสารไลโคปีนอยู่  ( อ้างอิงที่ 7 )
• สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ด้วยกลไกการยับยั้งอนุมูลอิสระที่จะไปทำลาย LDL Cholesterol เพราะการที่ LDL Cholesterol ถูก Oxidized ด้วยอนุมูลอิสระ จะทำให้ดึงเม็ดเลือดขาวมาทำลายผนังหลอดเลือดทำให้เกิดการอักเสบและผนังหลอด เลือดหนาตัวขึ้นกลายเป็น Plaque หรือตะกอน เกาะที่ผนังหลอดเลือด ส่งผลทำให้หลอดเลือดแข็ง ไม่ยืดหยุ่นและตีบ มีงานวิจัยที่ชัดเจน ในญี่ปุ่น พบว่า ผู้ที่มีระดับ ไลโคปีนในเลือดสูงจะลดอัตราตายจากโรคหัวใจอย่างมีนัยสำคัญ  ( อ้างอิงที่ 8 )
• ยับยั้ง เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของมนุษย์   ( อ้างอิงที่ 9 )
• อาจมีบทบาทในการช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่างๆ  โดย เริ่มมีงานวิจัยในเรื่องนี้ บ้างแล้ว แต่ยังมีข้อมูลจำกัดอยู่ คือยังมีไม่มากได้แก่ มะเร็งต่อมลูกหมาก ( prostate cancer)   มะเร็งรังไข่ ( ovarian cancer ), มะเร็งกระเพาะอาหาร ( gastric cancer ) และมะเร็งตับอ่อน ( pancreatic cancers) ( อ้างอิงที่ 10, 11 )

ไลซีน ( Lysine )
• เป็น กรดอะมิโนจำเป็น ( Essential amino acid ) หมายความว่าร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องรับประทานเข้าไปจากอาหารเท่านั้น มีความจำเป็นและเป็นส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีนทุกชนิดในร่างกาย
•  ไลซีน (L-Lysine) เป็นสารตั้งต้นในการสร้าง Hydroxylysine ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน ดังนั้นจึงเป็นเหตุเป็นผลกันว่าการรับประทานไลซีนจะช่วยเสริมสร้าง Collagen โดยไลซีนจะถูกเปลี่ยนเป็น Hydroxylysine ได้นั้น จำเป็นต้องมีวิตามินซีอยู่ด้วย ( อ้างอิงที่ 5, 12 )
• ไลซีน นิยมทำเป็นอาหารสุขภาพ ทั้งแยกเดี่ยวต่างหาก และใส่ร่วมในอาหารสุขภาพชนิดอื่น ๆ

ทองแดง ( Copper )
• มีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจน และยังทำงานร่วมกับวิตามินซีในการสร้าง อีลาสติน ( อ้างอิงที่ 13 ) ซึ่งจะทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น นุ่มนวลและแข็งแรง

 
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
 
 

การลดน้ำหนัก ด้วยสารสกัดจากถั่วขาวและถั่วเหลือง

 


การลดน้ำหนักในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน หรือ อ้วน มีได้หลายวิธี วิธีที่มาตรฐานและถือว่า ดีและปลอดภัยที่สุดในวงการแพทย์ คือ การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย ในสองวิธีนี้ การคุมอาหาร ได้ผลดีกว่า แต่การออกกำลังกาย มีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกหลายอย่างมากกว่า
การออกกำลังกายที่ง่ายที่สุดในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน คือการเดิน การวิ่ง การว่ายน้ำ การขี่จักรยาน แต่ละอย่างก็มีข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป เช่น ต้องมีสถานที่ มีอุปกรณ์ มีสุขภาพที่ดีพอสมควร เช่น การจะเดินจะวิ่งได้ก็ต้องไม่เป็นโรคข้อ คือ หัวเข่าต้องแข็งแรง และไม่เป็นโรคหัวใจ เป็นต้น
การลดน้ำหนักด้วยการคุมอาหาร เป็นวิธีที่ได้ผลกว่า เพราะถ้าออกกำลังกายแล้วมากินน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือน้ำชาเขียวที่มีน้ำตาลใส่กันหวานทั่ว ๆ ไป จะไม่ได้ผลเลย การจะลดน้ำหนักด้วยการคุมอาหาร มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้บ้างดังต่อไปนี้


ง่าย ที่สุดคือ แบ่งอาหารเป็นสองอย่าง คือแบบที่ให้พลังงาน จะทำให้อ้วนได้ และแบบที่ไม่ให้พลังงาน จะไม่ทำให้อ้วน อาหารที่จะทำให้อ้วนคืออาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่ แป้ง น้ำตาล และไขมัน อาหารที่อ้วนน้อยคือ เนื้อสัตว์ ( เนื้อสัตว์มีโปรตีน ซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นพลังงานได้ แต่ถ้าออกกำลังกาย ก็จะเปลี่ยนไปเป็นกล้ามเนื้อได้ ) อาหารที่ไม่อ้วน คือ ผัก น้ำ ส่วน วิตามิน และแร่ธาตุก็ไม่ทำให้อ้วนเลย
อาหารที่ให้พลังงาน แม้จะทำให้อ้วนได้ แต่ก็จำเป็น การจะอ้วน นั้น จะต้องได้พลังงานจากอาหารเกินความต้องการของเราในชีวิตประจำวัน ถ้าได้น้อยกว่าความต้องการ เราจะผอมลง ผอมลงทุกวัน ถ้าได้พอดี จะน้ำหนักเท่าเดิม ถ้าได้มากเกินต้องการจะอ้วนขึ้น อ้วนขึ้น ดังนั้นจะเห็นว่า ผู้ใช้แรงงาน เช่น ก่อสร้าง แม้จะกินข้าวมื้อละสองจานพูนก็ไม่อ้วนเลย เพราะใช้พลังงานมากนั่นเอง
พลังงานที่เข้าสู่ร่างกาย ได้จากสารอาหาร 3 หมู่ คือ ไขมัน คาร์โบไฮเดรท ( แป้งและน้ำตาล ) และโปรตีน โดยไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี ส่วนโปรตีนและคาร์โบไฮเดรท 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี (สำหรับวิตามิน เกลือแร่ และน้ำไม่ให้พลังงาน) ทีนี้คือว่าเราควรจะได้พลังงานจากอาหารแต่ละวันเท่าไร โดยประมาณขึ้นกับ อายุ ความสูง น้ำหนัก และเพศ โดยประมาณ ในผู้ใหญ่ สุภาพสตรีต้องการพลังงาน ประมาณวันละ 1800-2000 กิโลแคลอรี ส่วนสุภาพบุรุษต้องการวันละ 2200-2800 กิโลแคลอรี
การประมาณอย่างคร่าว ๆ สำหรับพลังงานที่ได้จากอาหารทั่ว ๆ ไป มีดังนี้ ข้าว 1 ทัพพี หรือขนมปัง 1 แผ่นให้พลังงานประมาณ 68 กิโลแคลอรี น้ำอัดลม 8 ออนซ์ ประมาณ 105 กิโลแคลอรี นม 1 กล่อง ประมาณ 140 กิโลแคลอรี ข้าวพร้อมกับ เช่น ข้าวราดแกง ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ให้พลังงานประมาณ 400-600 กิโลแคลอรี ถ้าเราทานอาหารที่ให้พลังงาน ไม่มากเกินความต้องการ ก็จะไม่ทำให้อ้วนขึ้น
การลดน้ำหนัก ด้วยอาหารเสริมแนวใหม่
การลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริม มีทั้งแนวรับประทานอาหารที่เป็นใยผักที่พองตัว และกินที่ถ่วงท้อง โดยไม่มีพลังงาน เช่น กลูโคแมนแนน นอกจากนี้ก็มีการรับประทานอาหารที่เพิ่มการเผาผลาญพลังงาน เช่น ชาเขียว และ น้ำมันดอกคำฝอย และแนวใหม่ คือรับประทานอาหารเสริมที่มีการลดการดูดซึม คาร์โบไฮเดรท คือ แป้งและน้ำตาล ลดการดูดซึมแป้ง ด้วยสารสกัดจากถั่วขาว และลดการดูดซึมน้ำตาลทั่วไป (เช่น ซูโครส ) ด้วยสารสกัดจากถั่วเหลือง
ถั่วขาว มีสารสำคัญคือ ฟาซีโอลามิน ( Phaseolamin ) สามารถ ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ แอลฟา-อะไมเลส (Alpha-amylase) ที่ทำหน้าที่ ย่อยแป้งให้ เล็กลงเป็น น้ำตาล หลายโมเลกุล ( Oligosaccharide ) หรือ น้ำตาลโมเลกุลคู่ ( Disaccharide ) แป้งจะต้องถูกย่อยเป็นน้ำตาลทั้งสองนี้ก่อน จึงจะผ่านกระบวนการย่อยต่อ กลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว และดูดซึมเข้าผนังลำไส้ได้ เมื่อสารสกัดถั่วขาว ไปยับยั้งรบกวน ขั้นตอนนี้ ก็ทำให้การย่อยแป้งยาวนานออกไปหรือแป้งถูกย่อยน้อยลง และแป้งถูกขับออกทางอุจจาระมากขึ้น ดังนั้นร่างกายจะได้พลังงานจากแป้งน้อยลง
สารสกัดจากถั่วเหลือง ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ แอลฟา-กลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase) ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลโมเลกุลคู่ให้เป็นโมเลกุลเดี่ยว เนื่องจากน้ำตาล ที่เรารับประทาน นั้น ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่ถูกย่อยมาจากแป้ง หรือมาจากการรับประทานเข้าไปโดยตรง ส่วนมากจะเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ ได้แก่น้ำตาล ซูโครส ( Sucrose เป็นน้ำตาลหลักที่มีอยู่ใน น้ำตาลทราย น้ำอ้อย ) น้ำตาลมอลโตส ( Maltose มักจะมาจากการย่อยแป้ง และการหมักเหล้า ) และน้ำตาลแลคโตส ( Lactose พบในในน้ำนม ) น้ำตาลเหล่านี้จะดูดซึมไม่ได้ จะต้องเปลี่ยน เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว คือ น้ำตากล กลูโคส หรือ ฟรุคโตสก่อนจึงจะดูดซึมได้ ( glucose, fructose ) การเปลี่ยนนี้ต้องใช้ เอนไซม์ แอลฟา-กลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase) ซึ่งสารสกัดจากถั่วเหลือง ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Alpha-glucosidase ตัวนี้ จึงทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลนี้ไม่ได้ หรือได้น้อยลงนั่นเอง
โดยสรุปแล้ว สารสกัดจากถั่วขาว มีสารสำคัญคือ ฟาซีโอลามิน ( Phaseolamin ) สามารถบล็อคการเปลี่ยนแป้งไปเป็นน้ำตาลได้ด้วยกลไกการยับยั้งการทำงานของ เอนไซม์ แอลฟา-อะไมเลส ทำให้แป้งที่เรารับประทานเข้าไป ไม่ถูกย่อย จึงไม่สามารถนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ ตัวแป้งเองก็จะถูกขับออกจากร่างกายในรูปกากอาหารไปในที่สุด โดยมีงานวิจัยรับรองเรื่องความปลอดภัยสนับสนุน ( อ้างอิงที่ 1-6 )

ส่วนสารสกัดจากถั่วเหลือง นั้นก็มีรายงานวิจัยว่า มีคุณสมบัติในการบล็อคการเปลี่ยนน้ำตาลโมเลกุลคู่ เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวได้ด้วยกลไกการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แอลฟา-กลู โคซิเดส รวมถึงมีงานวิจัยเรื่องความปลอดภัยในการรับประทานด้วย( อ้างอิงที่ 7-10 )

ด้วยกลไกของการ block การทำงานของเอนไซม์ ของสารสกัดทั้ง 2 ส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตน้อยลง ทำให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น

หลักการนี้ สอดคล้องกับ หลักการ โลว์ คาร์บ ( Low Carb ) ของ ดร. โรเบิร์ต ซี แอตกินส์ ซึ่งระบุไว้ว่า สาเหตุของการเกิดโรคอ้วนของชาวตะวันตกก็คือ การรับประทานคาร์โบไฮเดรต ไม่ว่าจะเป็น แป้ง หรือ น้ำตาล มากเกินไป และส่วนที่เกินไปนี้ ร่างกายก็เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ ( อ้างอิงที่ 11 ) แต่ในชีวิตประจำวันของคนไทย ซึ่งรับประทานข้าว เป็นอาหารหลัก นั้น หากเราจะลดการกินคาร์โบไฮเดรตลง ก็ต้อง ลดการกินข้าว ซึ่งปฏิบัติจริงได้ยาก ดังนั้นการควบคุมน้ำหนักด้วยการกินอาหารเสริมที่สามารถ Block คาร์โบไฮเดรต นั้นจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น

 
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
 
 

ทับทิม

 

ทับทิม เป็นผลไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมมาก ทับทิมเป็นผลไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ ในประวัติศาสตร์ พบว่าได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 8,000 ปีมาแล้ว
ทับทิม POMEGRANATE   ( Punica granatum L. )
ทับทิม เป็นผลไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมมาก ทับทิมสามารถปลูกได้ในประเทศไทย แต่ที่แท้จริงเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน)  ทับทิมเป็นผลไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ ในประวัติศาสตร์ พบว่าได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 8,000 ปีมาแล้ว ในประเทศเปอร์เซียโบราณมีความเชื่อว่า คุณค่าทางอาหารทุกชนิดที่มีอยู่ในผลไม้ต่าง ๆ นั้น รวมกันอยู่ในทับทิม ทับทิมเป็นผลไม้ที่ได้รับการเพาะปลูกอย่างแพร่หลาย  และทำเป็นผลิตภัณฑ์ ไปทั่วโลก ในทับทิม มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งมีมากทั้งใน เปลือก เมล็ด และน้ำทับทิม ได้แก่ polyphenols, anthocyanins,  anthrocyanidins, ellagic acid derivatives, และ hydrolyzable tannins

คุณประโยชน์ของ ทับทิมในตำราแพทย์สมัยโบราณ เปอร์เซีย
ในผลทับทิมมีวิตามินมากมายหลายชนิด รวมทั้งแมกนีเซียมและแคลเซียม ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบฟอกโลหิต และระบบการหมุนเวียนในร่างกาย ในตำราแพทย์โบราณของเปอร์เซีย (ซึ่งถือว่าเป็นต้นตำรับของวิชาแพทย์ตะวันตกในปัจจุบัน) ระบุว่าทับทิมมีประโยชน์มากมาย
คุณประโยชน์ ทับทิม จากการวิจัยทางการแพทย์
1. ทับทิม มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก (อ้างอิงที่ 1 )
2. สามารถลดภาวะการสะสมไขมันในผนังเส้นเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและแข็งตัวซึ่งจะให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือดตามมา ทั้งในคนและในหนูทดลอง ( อ้างอิงที่ 2, 3  )
3. ทำให้เส้นเลือดที่หนาตัวและมีไขมันสะสมแล้วซึ่งเป็นเส้นเลือดที่ไม่ดีแล้ว  มีความหนาตัวลดลง และลดไขมันที่สะสมลงอีกด้วยในหนูทดลอง (อ้างอิงที่ 4)
4. บำรุงหัวใจในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โดยเพิ่มการไหลเวียนที่ดีขึ้นและลดภาวะหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจ (อ้างอิงที่ 5)
5. ลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย ประมาณ 5%  ในผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูง ถ้ารับประทานน้ำทับทิมวันละ 50 ซีซี เป็นเวลาสองสัปดาห์  ( อ้างอิงที่ 6 )
6. บำรุงตับ ป้องกันการเป็นพิษต่อตับ ได้ ( Hepatoprotectiv effect ) ( อ้างอิงที่ 7 ) 
7. สารต้านอนุมูลอิสระจากน้ำทับทิมมีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมของมนุษย์ ( Human breast cell ) ( อ้างอิงที่ 8)
8. สารสกัดจากทับทิม ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของมนุษย์ ทั้งการแบ่งตัวและการแพร่กระจาย  ( อ้างอิงที่ 9 )  และมีงานวิจัยที่แนะนำให้กินหวังผลในการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ( อ้างอิงที่ 10 )

 
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
 
 

กวาวเครือขาว สมุนไพรสำหรับสตรีวัยทอง

 

กวาวเครือขาว ( Pueraria mirifica ) เป็นสมุนไพรที่กล่าวได้ว่า เป็นราชินีสมุนไพรไทยโดยแท้ มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี สรรพคุณโดยรวมจะเน้นไปใน การทำให้ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะสตรีวัยทอง กลับสดชื่น กลับมาเป็นสาว
กวาวเครือขาว  ( Pueraria mirifica ) เป็นสมุนไพรที่กล่าวได้ว่า เป็นราชินีสมุนไพรไทยโดยแท้  มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี สรรพคุณโดยรวมจะเน้นไปใน การทำให้ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะสตรีวัยทอง  กลับสดชื่น กลับมาเป็นสาว นอกจากนี้ กวาวเครือยังสนับสนุนความเป็นผู้หญิง ไปในทำนองให้สวยงามขึ้น และบำรุงอวัยวะภายใน ไปในทางที่ ส่งเสริมวัยเจริญพันธ์

สรรพคุณกวาวเครือ ในตำราแพทย์แผนโบราณ
     ตำราแผนโบราณได้กล่าวไว้ดังนี้ " คนอ่อนเพลีย ผอมแห้ง แรงน้อย นอนไม่หลับ กินไม่ได้  กินยานี้ 20-30 วัน โรคอ่อนเพลียหายสิ้น นอนหลับสบาย  เดินไปมาได้ตามปกติ  กวาวเครือบำรุงโลหิต บำรุงสมอง บำรุงกำลัง หญิงอายุ 70-80 ปี  กินแล้วอ้วนท้วนสมบูรณ์ กลับมีระดูอย่างสาว นมมีไตแข็งขึ้นอีก  ชายกินแล้วนมแตกพานแข็งเหมือนเด็กหนุ่ม มีกล้าม เนื้อหนังเต่งตึง ท่านห้ามเด็กหนุ่มสาวกิน  

ตำ ผงกินกับน้ำนมวัว หัวคิดสมองปลอดโปร่ง    ทรงจำตำราโหราศาสตร์ได้ถึง 3 คัมภีร์  เนื้อหนังจะนิ่มนวลดุจเด็ก  6  ขวบ  อายุจะยืนถึง 3,000 กว่าปี  โรคาพยาธิจะไม่มาเบียดเบียนเลย  เรับประทานกับน้ำข้าวที่เช็ดไว้ให้เปรี้ยว จะมีเนื้อหนังนิ่มนวลดุจเทพธิดา รับประทานกับน้ำมันเนยหรือน้ำผึ้ง จะอายุยืน ท่องโหราศาสตร์ได้ 3 คัมภีร์  จะรับรองมาตุคามได้ถึงพันคน ( น่าจะเป็นกวาวเครือแดง ) รับประทานกับนมเปรี้ยว อายุยืน ผมไม่ขาว  ฟันไม่หลุด  เนื้อหนังไม่ย่น รับประทานกับตรีผลา (มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก)  จักษุที่มัวหรือมีฝ้า แลไม่เห็นก็จะเห็น แช่นมควายทาผม ผมจะงอกดี ผมขาวจะดำ ทาผมด้วยน้ำมันงา ผมจะไม่ขาว เนื้อหนังจะไม่ย่น โรคาพยาธิทุกจำพวกจะไม่มีเลย  แช่น้ำนมทา คนที่เสียจักษุโดยมีฝ้าปิด 6 เดือน  จะกลับเห็นดีตามเดิม ( อ้างอิงที่ 1 )

สารสำคัญในกวาวเครือ
สาร สำคัญ ที่พบในกวาวเครือขาวมีมากมาย ที่เด่น ๆ ได้แก่  miroestrol, daidzein, genistin, puerarin, สารต่าง ๆ เหล่านี้หลายชนิดมีคุณสมบัติเป็น ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) คือเป็นเอสโตรเจนที่ได้จากพืช และออกฤทธิ์เช่นเดียวกับเอสโตรเจนทุกประการ โดยออกฤทธิ์ที่ตัวรับ  ( receptor ) เดียวกับเอสโตรเจน สารไฟโตรเอสโตรเจน พบมากในถั่วเหลือง และมีรายงานมากมายว่า สามารถมีฤทธิ์ลดการสร้างอนุมูลอิสระ  ( Anti- oxidant )  ซึ่งอาจต้านมะเร็งและช่วยในโรคหัวใจ และมีรายงานว่าการทานธัญพืชและพืชตระกูลถั่วเหลืองสามารถลดอุบัติการณ์ มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และลำไส้ใหญ่ และช่วยให้โรคหัวใจดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าการใช้กวาวเครือสามารถจะลดมะเร็งหรือ ป้องกันมะเร็ง ได้ แต่ก็มีงานวิจัยว่ากวาวเครือขาวไม่มีผลส่งเสริมต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ มะเร็งเต้านมหลายชนิด   และยังอาจยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมบางชนิดได้ด้วย

ความปลอดภัย
ปัจจุบัน กวาวเครือชนิดที่รับประทาน ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณ  และยาแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ซึ่งมีกวาวเครือในปริมาณ ประมาณ 100 มก. เป็นที่ยอมรับว่าปลอดภัย ผ่านการวิจัยในความเป็นพิษระยะยาวในหนูทดลองแล้ว ( อ้างอิงที่ 12 ) และการใส่ร่วมกับสมุนไพร เช่น ตรีผลา คือ มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก  ก็มีในตำรับโบราณ ทั้งนี้ ตรีผลา ก็มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย การทานร่วมกับกวาวเครือ จึงช่วยให้มีสมดุลที่ดี

กวาวเครือจึงปลอดภัย ถ้ามีการรับประทานอย่างถูกต้องและเหมาะสม
การรับประทานกวาวเครืออย่างปลอดภัย 
จะต้องมีการตรวจร่างกายที่จำเป็นก่อนการรับประทานได้แก่ ตรวจเต้านม ตรวจการทำงานของตับ และมดลูก ทั้งนี้เพราะกวาวเครือไม่เหมาะในผู้ที่เป็นโรคของเต้านม มดลูกและ ตับ โรคของเต้านมที่เป็นอยู่ก่อนจะห้ามรับประทานกวาวเครือโดยเด็ดขาดทุกชนิดไม่ ว่าจะเป็น ซีสต์ เป็นพังผืด และการตรวจเต้านมยังเป็นการตรวจสกรีนหามะเร็งในเบื้องต้นด้วย นอกจากนี้ก็ควรตรวจมดลูกก่อน เพราะกวาวเครือ ก็ไม่น่าจะเหมาะสมในผู้ที่เป็นโรคในมดลูกทุกชนิดเช่นกัน  เช่น พังผืด เนื้องอก รวมทั้งก้อนในมดลูก แม้จะเป็นคนที่ปวดประจำเดือนบ่อย ๆ ก็ไม่ควรรับประทาน   

เมื่อรับประทานกวาวเครือ ควรมีการหยุดทานเป็นระยะในช่วง 7 วันสุดท้ายของแต่ละเดือนเหมือนกับการรับประทานยาคุมกำเนิด เพื่อให้โอกาสมดลูกได้พักและมีประจำเดือนตามปกติ  และผู้ที่รับประทานกวาวเครือ ก็ควรได้รับการตรวจภายในและมะเร็งเต้านมเป็นระยะ ตามที่กำหนดไว้เช่น ทุก 6 เดือน หรือ หนึ่งปี
ข้อห้ามของการรับประทานกวาวเครือ
1. ผู้ที่เป็นโรคของทรวงอก เช่น เป็นซีสต์ เป็นพังผืด เป็นก้อน เป็นเนื้องอก เป็นมะเร็ง
2. ผู้ที่เป็นโรคของมดลูกและรังไข่ ทุกชนิด ทำนองเดียวกันกับทรวงอก
3. ผู้ที่ดื่มสุรา มีประวัติเป็นโรคตับ เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งมีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูง
4. ไม่ใช้ในเด็กและสตรีมีครรภ์
5. สตรีวัยเจริญพันธุ์ ควรปรึกษาแพทย์
โดยสรุป  กวาวเครือขาวจึงเป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ และมีความปลอดภัยถ้ารู้จักใช้อย่างเหมาะสม ถือป็นสมุนไพรประจำชาติไทยที่มีคุณภาพสูงใคร ๆ ก็สู้ไม่ได้ และเป็นสมุนไพรที่นำชื่อเสียงมาให้ประเทศไทยอย่างแท้จริง

 
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
กิฟฟารีนอาหารเสริม
 
 

เรื่องน่ารู้ของ กระเทียม

 

พืชสมุนไพรที่มากด้วยคุณระโยชน์ต่อสุขภาพ และได้รับการยอมรับในบทบาททางการแพทย์มานานกว่า 5,000

เป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับการยอมรับในบทบาททางการแพทย์มานาน สามารถบริโภคได้โดยปลอดภัย โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใด ๆ ต่อร่างกาย นอกจากกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และการระคายเคืองกระเพาะอาหารในกรณีที่ทานในปริมาณมากเท่านั้น กระเทียม นอกจากเป็นอาหารแล้วยังถือได้ว่าเป็นอาหารสุขภาพที่คนไทยทุกคนควรภูมิใจ คุณประโยชน์ของกระเทียมทางการแพทย์ที่ควรทราบมีดังนี้คือ

  

1. ช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือดชนิดโคเลสเตอรอล
2. ป้องกันอาการเส้นเลือดอุดตัน โดยออกฤทธิ์ที่เกล็ดเลือดโดยตรง
3. ทำให้ความดันโลหิตลดลงได้บ้าง และอาจมีที่ใช้ในรายที่มีความดันโลหิตสูงที่ไม่มากนัก (อ้างอิงที่ 10, 15)
4. เป็นยาฆ่าเชื้อโรคได้หลายชนิด แม้กระทั่งเชื้อ H.PYLORI ในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจมีผลต่อการป้องกันโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร (กำลังศึกษาเพิ่มเติม) (อ้างอิงที่ 2)
5. มีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็งในลำไส้ใหญ่ในหนูทดลอง (อ้างอิงที่ 7, 1)
6. มีหลักฐานทางระบาดวิทยาว่า สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารในคนได้ (รายงานจากประเทศจีนและอิตาลี) (รวบรวม 60 รายงาน, อ้างอิงที่ 13, 17)
7. ป้องกันการเกิดการอุดตันของเส้นเลือดหัวใจโดยตรง (ทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยงของเส้นเลือดแดงใหญ่ในคน)
8. อาจออกฤทธิ์ต้านการแก่ (anti Aging) และการเกิดมะเร็ง (Anti Cancer) ในการทดลองในเซลล์เพาะเชื้อของคน

รายงานทางการแพทย์ที่พบว่า ลดโคเลสเตอรอลได้มีมากมาย โดยมีถึง 3 รายงานใหญ่ (อ้างอิงที่ 3, 4, 11) และวิจัยรวมรายงานย่อยอีก 1 รายงาน (อ้างอิงที่ 14)

รายงานทางการแพทย์ที่พิสูจน์ว่า ลดการอุดตันของเส้นเลือดโดยออกฤทธิ์ที่เกล็ดเลือดโดยตรงมีมากมายถึง 4 รายงานใหญ่ (อ้างอิงที่ 6, 8, 12, 16) และวิจัยรวมรายงานย่อยรวม 132 รายงาน (อ้างอิงที่ 5)
ขนาดของกระเทียมที่ใช้ในการวิจัยประมาณ 600-900 มก./วัน โดยจะลดโคเลสเตอรอลได้ประมาณ 12% ในเวลาประมาณ 4-12 สัปดาห์ โดยทดลองในคนถึง 7-952 คน (อ้างอิงที่ 11)
ยังไม่มีรายงานถึงความปลอดภัยต่อการทานกระเทียมในปริมาณมากในสตรีมีครรภ์ และการทานกระเทียมเป็นอาหารเสริมสำหรับสตรีตั้งครรภ์ก็ไม่จำเป็น แต่สำหรับสตรีที่คลอดลูกและให้นมมารดาแก่ทารก มีรายงานว่า ถ้ารับประทานกระเทียมจะทำให้ทารกชอบดูดนมและดูดนานกว่าเดิม (อ้างอิงที่ 18) โดยไม่มีอันตรายใด ๆ
ในปีล่าสุดคือ 2001 ได้ยอมรับกระเทียมในบทที่ว่าด้วยการรักษาด้วย  แพทย์ทางเลือก โดยยืนยันว่ากระเทียมมีงานวิจัยที่มากพอและเชื่อถือได้ว่าลดระดับไขมันใน เลือด ลดการอุดตันของเส้นเลือดจริง
ทั้งหมดนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการทดลองกระเทียมในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยเราอาจจะค้นได้ในการค้นทางคอมพิวเตอร์ Medline หรือใช้ Internet ตามห้องสมุดโรงเรียนแพทย์ทั่วไป

 
Advertising Zone    Close

Online: 1 Visits: 84,128 Today: 6 PageView/Month: 178

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...